โพสต์แนะนำ

ความรู้เรื่องการ "กินเจ"

"กินเจ" เป็นคำที่คุ้นหูกันมากสำหรับบรรดาสาธุชนผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย แต่สำหรับคนทั่วไปส่วนใหญ่ยังคงคิดกันไปว่า ...

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ข่มขืนมาราธอน!! สุดสลดใจพี่เขยย่ำยีน้องเมียสาวพิการ-ข่มขู่ทำร้ายร่างกายนาน 8 ปี


 ข่มขืนมาราธอน!! สุดสลดใจพี่เขยย่ำยีน้องเมียสาวพิการ-ข่มขู่ทำร้ายร่างกายนาน 8 ปี

เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นาวสาวปลา (นามสมมติ) อายุ 33 ปี อยู่ ต.ระแหง อ.เมืองตาก จ.ตาก สาวพิการการเคลื่อนไหว ร่างกายเล็ก ไม่มีแขน หลังถูก นายเสือ (นามสมมติ) อายุ 58 ปี พี่เขยก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเรา มาตั้งแต่ปี 2552 ถึงปี 2560 แจ้งความตำรวจไว้เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา คดียังไม่มีความคืบหน้า
นางสาวปลา เปิดเผยว่า พี่เขยกับตน บ้านอยู่ติดกัน โดยก่อนหน้า ตนอยู่กับแม่สองคน มีพี่เขยมาเที่ยวหา เข้ามาก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเรามาตั้งแต่ปี 2552 ถึงปี 2560 เป็นระยะเวลาประมาณ 8 ปี จนกระทั่งถึงวันนี้ ตนทนไม่ไหว จึงเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากถูกพี่เขยข่มขู่ตนมาโดยตลอด ถ้าไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ก็จะทำร้ายร่างกายและไม่ให้เงินลงทุนขายลอตเตอรี่ รวมทั้งขอให้ตนถอนแจ้งความ
นางสาวปลา กล่าวอีกว่า หลังจากที่ตนเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจ คดียังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ตนจึงได้ตัดสินใจเข้าไปร้องเรียนมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ขอให้เข้ามาช่วยเหลือคดีของตน เกรงว่าคดีของตนจะเงียบหายไม่มีความคืบหน้า
อย่างไรก็ตาม นางสาวปลา บอกว่า กรณีดังกล่าวตนไม่ยอมความอย่างแน่นอน เนื่องจากตนถูกข่มขู่มาโดยตลอด ต้องหลบๆซ่อนๆ กลัวพี่เขยทำร้ายร่างกาย ต้องไปอาศัยไปนอนอยู่ชมรมคนพิการ และบ้านเจ้าหน้าที่ พม. วอนขอความช่วยเหลือตนด้วย
ที่มา www.khaosod.co.th 

โฆษกกลาโหม วอนโซเชี่ยลหยุดวิจารณ์ ‘กรณีน้องเมย’ ให้รอผลแพทย์ภายใน7วัน วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 - 11:27 น.



โฆษกกลาโหม วอนโซเชี่ยลหยุดวิจารณ์ ‘กรณีน้องเมย’ ให้รอผลแพทย์ภายใน7วัน

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 - 11:27 น.


ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.คงชีพ ตันตระวานิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงแทนพลเอกประวิตร ว่ากระทรวงกลาโหมพร้อมให้ความเป็นธรรม และเสียใจกับครอบครัวของน้องเมย และอยากให้ทุกฝ่ายรอผลการตรวจสอบ ทางการแพทย์ ภายใน 7 วัน และผลสอบของกองบัญชาการกองทัพไทย ไม่อยากให้สังคมโซเชียลมีเดียนำไปขยายความทำให้เกิดความสับสน และเข้าใจผิด พร้อมกล่าวว่า กราบขอประทานอภัย ที่คำพูดอาจจะกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิด แต่ยืนยันว่าคำพูด พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงภาพรวมของการฝึกไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นน้องเมย แต่สื่อมีการนำเสนอไม่ครบถ้วน ดังนั้นจึงขอย้ำระหว่างนี้ อยากให้รอผลการสอบ

ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า การตั้งทหารเป็นคณะกรรมการตรวจสอบอาจจะทำให้ผลการตรวจสอบไม่เป็นกลางนั้น ไม่เป็นความจริง ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าในความเป็นกลาง และไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการคนนอก และเชื่อว่าผลการตรวจสอบทางการแพทย์จะสอดรับกับผลการตรวจสอบของคณะกรรมการ

อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ได้สั่งให้พล.อ.ประวิตร งดให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด และพล.อ.ประวิตร ไม่ได้พูดคุย หรือแสดงความกังวลกับเรื่องดังกล่าว และไม่ต้องขอโทษเพราะไม่ได้พูดระบุถึงน้องเมย




ที่มา
ข่าวสด ทันเหตุการณ์ , ข่าวสด

เตือนภัย จับใด้แล้วรถรับแลกกะละมัง-โทรศัพย์ ที่แท้เป็นรถแก๊งลักเด็กที่ จ. ฉะเทริงเฉา 24/11/60


เตือนภัย จับใด้แล้วรถรับแลกกะละมัง-โทรศัพย์ ที่แท้เป็นรถแก๊งลักเด็กที่ จ. ฉะเทริงเฉา 24/11/60




ที่มา  ข่าวสดทุกวัน TV ออนไลน์

10 สูตรอาหารเจ ทำง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้

สูตรอาหารเจ อาหารเจ เทศกาลเจ


สวัสดีค่ะ มีบทความดีๆ มาฝากกันอีกเช่นเคย ถึงช่วงเทศกาลกินเจกันแล้ว ใครที่เพิ่งเริ่มทานเจเป็นครั้งแรก ไม่ต้องกลัวเรื่องรสชาติว่ามันจะจืด หรือไม่อร่อย วันนี้เรามี สูตรอาหารเจ 10 เมนู มาฝากกันค่ะ 

สูตรอาหารเจ  สูตรอาหารเจ ส้มตำเจ ส่วนผสมอาหารเจ  พริกขี้หนูสวนตามชอบ ถั่วลิสงคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ ถั่วฝักยาวหั่นท่อนสั่น 2 ฝัก ซีอิ้วขาวสูตร 1 ตราเด็กสมบูรณ์ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศราชินี 5 ผล แครอทขูดฝอย 50 กรัม มะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ ผลไม้ เช่น สตรอเบอรรี่ แอ๊ปเปิ้ล มะละกอดิบขูดเป็นเส้น 200 กรัม ฟองเต้าหู้ทอดกรอบสำหรับโรยหน้า และผักสดตามชอบ  วิธีทำ  ใส่พริกขี้หนูส่วนลงไป ใครทานเผ็ดก็ใส่ไปตามความชอบ และใส่ถัวฟักยาวและถั่วลิสง โขลกให้พอแหลก ใส่มะเขือเทศ แครอท ตามด้วยซีอิ๊วขาว น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก โขลกเบาๆ ให้เข้ากัน ใส่มะละกอดิบ ตามด้วยผลไม้ คลุกเคล้าให้เข้ากัน จัดใส่จาน และโรยหน้าด้วยฟองเต้าหู้กรอบ วางคู่กับผักสดต่างๆ เตรียมเสิร์ฟได้เลย


สูตรอาหารเจ โปรตีนเกษตรทอดกรอบเจ ส่วนผสมอาหารเจ  โปรตีนเกษตร(ขนาดกว้าง 1 ซม.) 100 กรัม แป้งทอดกรอบ 80 กรัม น้ำเย็นจัด 150 มิลลิลิตร ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1 ช้อนชา งาขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันปาล์ม 1 ลิตร วิธีทำอาหารเจ  ผสมแป้งทอดกรอบ งาขาว พริกไทยป่น ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย และน้ำเย็นจัด นวดจนแป้งละลายจนหมด พักไว้ ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำโปรตีนเกษตรลงคลุกแป้งจนทั่ว จากนั้นนำลงทอดให้เหลืองกรอบ ตักขึ้นพักไว้บนกระดาษทิชชู่ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มไก่เจ

สูตรอาหารเจ สเต๊กเต้าหู้ราดซอสเห็ดเจ  ส่วนผสม อาหารเจ  เต้าหู้เนื้อแข็ง 1-2 ชิ้น เห็ดหอมสด เห็ดเปาฮื้อประมาณ 100 กรัม น้ำตาลทราย 1-2 ช้อนชา เกลือเล็กน้อย แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 3 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1 ถ้วย โชยุ 2 1/2 ช้อนโต๊ะ มิริน 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำอาหารเจ วิธีทำ  หั่นเต้าหู้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หนาประมาณ 1 ซม. ตบแป้งบางๆ ทอดในน้ำมันจนสุก เหลือง ตักขึ้นซับน้ำมันและเรียงใส่จาน หั่นเห็ดเป็นชิ้นเล็กบาง ผัดเห็ดกับน้ำมันพอสุกเติมน้ำเปล่า ใส่ซีอิ้ว มิริน น้ำตาลทราย เกลือเล็กน้อย ชิมรสตามชอบให้เค็ม หวานนิดๆ ใส่แป้งลงไปผสมน้ำจนซอสเหนียว ตักขึ้นราดเต้าหู้ ตักเสิร์ฟ


 สูตรอาหารเจ ผัดไทยเจ ส่วนผสม  เส้นจันท์แช่น้ำจนนิ่ม 200-250 กรัม หัวไชโป๊เค็มสับละเอียด ล้างน้ำ เต้าหู้หั่นเต๋า ถั่วงอกเด็ดหาง ขึ้นฉ่ายหั่นฝอย น้ำมะกอก น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ น้ำมะขามเปียก 5 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 4 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 4 ช้อนโต๊ะ มะนาวผ่าซีก ถั่วงอกและแครอท ถั่วลิสงป่นและพริกป่น วิธีทำ  หั่นผักและวัตถุดิบต่างๆ เตรียมไว้ให้เรียบร้อยลวกเส้นพอสุก(สำหรับเส้นที่สำเร็จรูป) หรือเส้นที่เป็นแบบแช่น้ำจนนิ่ม เลือกซื้อได้ตามใจชอบ ผสมน้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียกและน้าเปล่าเข้าด้วยกัน จนได้เป็นน้ำซอสสำหรับผัดไทย ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย รอจนน้ำมันเริ่มร้อนจากนั้นใส่หัวไชโป๊ลงไปและผัดจนไชโป๊เริ่มสุก แล้วก็นำซอสสำหรับผัดไทยที่ปรุงรสไว้เทใส่ลงไป เคี่ยวจนน้ำซอสข้นเล็กน้อย จากนั้นใส่เต้าหู้หั่นเต๋าและเส้นจันท์ตามลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน ผัดต่อ 2-3 นาทีจนมีกลิ่นหอม จากนั้นให้ใส่ถั่วงอกและขึ้นฉ่ายหั่นฝอยคลุกเคล้าอีกรอบและผัดต่อไปเรื่อยจนถั่วงอกสุกดี นำลงจากเตาใส่จาน วางมะนาวพริกป่นและถั่วลิสงคั่วประดับไว้ข้างจานแล้วพร้อมเสิร์ฟได้เลยค่ะ


สูตรอาหารเจ ผัดหมี่เจ ส่วนผสม อาหารเจ  หมี่เหลือง 1 ถ้วย ผักคะน้า 1 ต้น เห็ดฟาง 4-5 ดอก เห็ดหอมปรุงรสหั่นเสี้ยว 2 ดอก เต้าหู้เหลืองหั่นชิ้นเล็ก 1 ช้อนโต๊ะ หัวไชไป๊ สับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ถั่วงอกเด็ดหาง ½ ถ้วย ถั่วลิสงคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ พริกป่น 1-2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ น้ำซุปผัก ½ ถ้วย น้ำมันพืช 3-4 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ผัดหมี่เจ  ล้างผักคะน้าให้สะอาด หั่นชิ้นพอคำ ล้างเห็ดฟางให้สะอาดเฉือนโคนที่สกปรกออก ผ่าครึ่ง ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่ผักคะน้า เห็ดฟาง เห็ดหอม ใส่เต้าหู้ หัวไซโป๊ ผัดให้หอม ใส่หมี่เหลือง ผัดพอทั่ว ใส่น้ำซุป ผัดจนแห้ง ปรุงรสด้วยพริกป่น น้ำตาล ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู ใส่ถั่วลิสงป่น ผัดสักครู่ ใส่ถั่วงอก (แบ่งไว้โรยหน้าเล็กน้อย) พอทุกอย่างสุก ปิดไฟ ยกลง ตักใส่จาน เสิร์ฟกับมะนาวหั่นเสี้ยว ถั่วงอก 


สูตรอาหารเจ เห็ดนางฟ้าชุบแป้งทอดเจ ส่วนผสมอาหารเจ  เห็ดนางฟ้า 8 ดอกใหญ่ งาขาวคั่วสุก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันสำหรับทอด เครื่องปรุงอาหารเจ แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย  1ช้อนชา แป้งสาลี 1/2 ถ้วย พริกไทย 1/2 ช้อนชา เกลือป่น 1/2 ช้อนชา วิธีทำอาหารเจ  เห็ดนางฟ้าฉีกเป็นชิ้นโตๆ ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งสาลีลงในน้ำ 1 1/2 ถ้วย เติมเกลือ น้ำตาล พริกไทย คนให้เข้ากันแล้วโรยงาคั่วลงไป นำเห็ดลงชุบ ทอดในน้ำมันร้อนปานกลาง จนเหลืองกรอบ ตักขึ้นไว้บนกระดาษซับมัน รับประทานโดยจิ้มกับน้ำจิ้มของผักทอดเทมปุระหรือน้ำจิ้มบ๊วยก็ได้


สูตรอาหารเจ หมี่กรอบเจ เครื่องปรุงอาหารเจ  เส้นหมี่ขาว 200 กรัม เต้าหู้เหลืองหั่นสี่เหลี่ยมเล็กยาว 2 กรัม น้ำตาลทราย 500 กรัม ซอสปรุงรสถั่วเหลือง 150 กรัม น้ำมะนาว 150 กรัม น้ำส้มสายชู 100 กรัม น้ำมันสำหรับทอด 5 ถ้วยตวง ถั่วงอก พริกขี้หนูแดงหั่นเป็นเส้นยาว ผิวส้มซ่าซอยละเอียด วิธีทำอาหารเจ  น้ำมันใส่กระทะ เปิดไฟแรงจนน้ำมันร้อนดี ลดไฟลงเป็นไฟกลาง จุ่มเส้นหมี่ในน้ำสะอาด สะบัดพอหมาด นำลงทอดในน้ำมัน เส้นหมี่จะฟูขึ้น กลับเส้นหนึ่งครั้งจนเส้นหมี่ออกสีเหลืองอ่อนๆ ตักขึ้นพักบนกระดาษซับมันไว้ ทำจนหมดเส้นหมี่ ตั้งกระทะอีกใบ ใส่น้ำมัน 1/4 ถ้วยตวง ใช้ไฟกลาง นำเต้าหู้ลงผัดจนผิวตึงสวย ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายและซอสถั่วเหลือง ผัดจนน้ำตาลละลาย ปรุงรสต่อด้วยน้ำส้มสายชูและน้ำมะนาว ใส่หมี่กรอบที่ทอดไว้แล้วลงไปผัดกับน้ำปรุงรสจนน้ำเคลือบเส้นหมี่ทั่วดี ตักใส่จานสำหรับเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยผิวส้มซ่า พริกชี้ฟ้าแดง เคียงด้วยถั่วงอกสด และมะนาวซีก


สูตรอาหารเจ แกงจืดฟองเต้าหู้ดอกไม้จีนเจ ส่วนผสมอาหารเจ  ฟองเต้าหู้ 2 แผ่น เห็ดนางฟ้า 4 ดอก เห็ดหูหนู 1/4 ถ้วย ดอกใม้จีน 1/4 ถ้วย ขึ้นฉ่าย 1 ต้น วุ้นเส้น 1/2 ถ้วย ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำ 1 1/2 ถ้วย เห็ดนางฟ้า 4 ดอก ฟองเต้าหู้ 2 แผ่น เห็ดหูหนู 1/4 ถ้วย วุ้นเส้น 1/2 ถ้วย ขึ้นฉ่าย 1 ต้น ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำ 1 1/2 ถ้วย วิธีทำอาหารเจ  นำฟองเต้าหู้ไปแช่น้ำไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง ล้างเห็ดนางฟ้าฉีกเป็นชิ้นพอคำ ล้างเห็ดหูหนูหั่นชิ้นพอคำ วุ้นเส้นและดอกไม้จีนแช่น้ำให้นิ่ม ล้างขึ้นฉ่าย หั่นยาว 2 นิ้ว ใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด ใส่ฟองเต้าหู้ ต้มสักครู่ ใส่เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู ดอกไม้จีน ต้มพอเดือด ใส่ซีอิ๊วขาว ใส่วุ้นเส้น ปิดไฟ ใส่ขึ้นฉ่าย ตักเสิร์ฟ

ที่มา food.mthai.com

5 สาเหตุที่คนลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายแล้วน้ำหนักไม่ลด


5 สาเหตุที่คนลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายแล้วน้ำหนักไม่ลด หลายคนคงจะเคยได้ยินมาบ่อยๆ ว่า ถ้าอยากลดน้ำหนักแบบปลอดภัย ให้เริ่มต้นจากการออกกำลังกาย ซึ่งเมื่อคุณหันมาออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน หรือแม้กระทั่งเข้ายิมหรือฟิตเนสหรูๆ แต่เชื่อได้เลยว่า มากกว่า 50% มักจะไม่สามารถลดน้ำหนักได้ คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมทั้งๆ ที่เราก็ออกกำลังกายต่อเนื่องมานานแล้วนะ แต่ทำไมน้ำหนักตัวของเราถึงไม่ลดลงสักทีละเนี่ย? แล้วแบบนี้เมื่อไรฉันจะผอมได้สักทีละเนี่ย????
เชื่อไหมครับว่า คนอ้วนที่อยากลดน้ำหนักหนัก ต่อให้สรรหาสารพัดวิธีลดน้ำหนัก หรือสูตรลดน้ำหนักมาทั่วจักรวาลสะท้านพิภพ ต่างก็ไม่สามารถลดน้ำหนักได้เหมือนที่ตัวเองตั้งใจไว้ เพียงเพราะพวกเขาตกม้าตายด้วยเหตุผลง่ายๆ 5 ข้อดังนี้

1. ออกกำลังกายแบบหักโหมเกินไป

การออกกำลังกายสำหรับลดน้ำหนักนั้น หมายถึง การเผาผลาญหรือใช้พลังงานให้มากพอที่จะให้ร่างกายไปดึงเอาไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมาใช้ทดแทน แต่เนื่องจากว่าคนอ้วนหลายคนนั้น มักจะใจร้อน อยากผอมเร็วๆ ก็เลยคิดว่า ถ้างั้นฉันก็โหมออกกำลังกายไปเลย ร่างกายจะได้เร่งเอาไขมันสะสมมาใช้งานจะดีกว่า ทำให้คนอ้วนหลายคนเลือกใช้วิธีลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายแบบบ้าพลัง ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกายวันละ 2-3 ชั่วโมง, การวิ่งเป็นระยะทางไกลๆ, การว่ายน้ำ, การเต้นแอโรบิค และอีกสารพัดให้เหงื่อมันไหลออกมามากๆ โดยคิดว่าสิ่งที่ทำไปนั้น จะทำให้ร่างกายของตัวเองผอมเร็วๆ
แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่คุณได้หลังจากการออกกำลังกายอย่างบ้าพลัง หรือหักโหมจนเกินไปนั้น ได้แก่
  • คุณจะหิวชนิดที่เรียกว่าโหยหาอาหารอย่างบ้าคลั่งหลังจากออกกำลังกายเสร็จ ซึ่งถ้าคุณไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ ก็เผลอกินอาหารเติมลงไปอยู่ดี
  • ร่างกายของคุณจะเหนื่อยมาก โดยเฉพาะคนที่อ้วนมากๆ อยู่ๆ จะมาออกกำลังกายหักโหมเลยนั้น คุณมีโอกาสเป็นลม หรือหัวใจวายได้นะครับ ทำเป็นเล่นไป เนื่องจากภาวะอ้วนนั้น นอกจากน้ำหนักตัวที่เกินแล้ว บางครั้งมันยังพาอาการผิดปกติอื่นๆ มาให้คุณด้วย เช่น ความดัน ซึ่งหากคุณอยู่ๆ ก็ฟิต คึกจัดลุกขึ้นมาออกกำลังกายทันที อาจจะทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไป ระดับความดันผิดปกติ เกิดอาการวูบ (เป็นลม) ได้ง่ายๆ
  • ร่างกายอาจจะซ่อมแซมอาการบาดเจ็บไม่ทันในวันรุ่งขึ้น หลายคนจึงเกิดอาการเดี้ยง ปวดเมื่อยตามตัวในวันรุ่งขึ้นทันที!
ทางแก้คือ คุณไม่ต้องฟิตมากขนาดนั้น ไม่ต้องใจร้อน การลดน้ำหนักที่ได้ผลคือ ต้องใช้ระยะเวลา ค่อยเป็นค่อยไป การออกกำลังกายก็เช่นกัน หากคุณไม่ได้ออกกำลังกายมานาน ก็อาจจะเริ่มง่ายๆ ด้วยการเดินขึ้นลงบันไดที่ทำงานช่วงเช้า กลางวัน และเย็นหลังเลิกงาน หรือถ้าคุณขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ก็ลงก่อนสัก 1 ป้าย แล้วลองเริ่มเดินด้วยระยะ 1 ป้ายรถเมล์ก่อนก็ได้
ยิ่งคุณเหนื่อยหอบมากเท่าไร ร่างกายจะหายใจไม่ทัน ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง การจะเผาผลาญไขมันได้ดีนั้น ระดับออกซิเจนในร่างกายต้องสูง ดังนั้นคุณจึงควรจะออกกำลังกายแบบช้าๆ เน้นสูดลมหายใจ ดังนั้นหากคุณเป็นคนอ้วนมาก ไม่รู้จะออกกำลังกายยังไงดี ก็สามารถเริ่มต้นง่ายๆ เช่น การรำไทเก็ก ที่ใช้การเคลื่อนไหวช้าๆ เน้นการหายใจ การเคลื่อนไหวที่ช้า แต่เกร็งกล้ามเนื้อทั้งร่างกาย จะทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายทำงานมากขึ้น เมื่อร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น (เพราะเราหายใจลึกขึ้น หายใจช้าลง) จะทำให้กระบวนการเผาผลาญไขมันทำงานได้ดีขึ้นกว่าการออกกำลังกายที่เรารู้สึกเหนื่อย หายใจไม่ทัน (เรียกง่ายๆ ว่า ถ้าคุณออกกำลังกายแล้ว หอบจนรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน แสดงว่าคุณหักโหมเกินไปซะแล้ว)

2. ขาดความสม่ำเสมอ

ร่างกายของคนเรานั้นมีความแปลกอยู่หลายอย่าง หากคุณออกกำลังกายแบบเดิมซ้ำๆ ทุกๆ วัน ร่างกายจะเริ่มมีการปรับตัว จากเดิมที่คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้า ไม่มีแรง แต่เมื่อคุณเริ่มออกกำลังกาย สั่งให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวบ่อยๆ ร่างกายจะเริ่มปรับตัวและเกิดการเคยชิน ทำให้การออกกำลังกายในวันต่อๆ ไปของคุณเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นกว่าวันก่อนๆ
แต่คนอ้วนหลายคนมักจะเลิกล้มการออกกำลังกายไปก่อน เนื่องจากว่าดันไปโหมออกกำลังกายในช่วงแรกอย่างบ้าคลั่ง จนหอบ เหนื่อยจัด จนวันรุ่งขึ้นร่างกายซ่อมแซมไม่ทัน เกิดอาการเจ็บจนไม่อยากไปออกกำลังกายอีกนั้นเอง
นอกจากนั้นความมีวินัยในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญอีกข้อของการลดน้ำหนักให้ประสบความสำเร็จ มันไม่สำคัญว่าคุณจะโหมออกกำลังกายในแต่ละวันแค่ไหน แต่สำคัญว่าคุณทำได้ต่อเนื่อง ยาวนานแค่ไหนต่างหาก
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการลดน้ำหนัก แน่นอนว่าหลักการง่ายๆ คือ ใช้พลังงานในแต่ละวันให้มากกว่าพลังงานที่เราได้รับจากอาหารในแต่ละวัน ดังนั้นเมื่อเราออกกำลังกาย ก็เป็นการใช้พลังงานในแต่ละวัน เมื่อในแต่ละวันพลังงานที่ใช้มากกว่าพลังงานที่ได้รับ ร่างกายก็จะไปดึงเอาไขมันมาชดเชยแทน ยิ่งคุณใช้พลังงานเกินกว่าพลังงานที่ได้รับในแต่ละวันได้ยาวนาน ต่อเนื่องกันอย่างสม่ำเสมอมากเท่าไร ร่างกายของคุณก็จะค่อยๆ เริ่มผอมลง สัดส่วนต่างๆ ก็จะกระชับมากยิ่งขึ้นนั้นเอง
3. เลือกเวลาออกกำลังกายผิด
เวลาคนจะออกกำลังกาย ส่วนมากมักจะออกกำลังกายแค่ ช่วงเช้า หรือช่วงเย็น แต่ในสมัยนี้ คนส่วนมากมักจะเลือกออกกำลังกายช่วงเย็นแทน ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย แต่ถ้าคุณต้องการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักแล้วละก็ การออกกำลังกายในช่วงตอนเย็นจะเป็นเวลาที่ผิดมากสำหรับคนอ้วนที่กำลังหาวิธีลดน้ำหนัก
เหตุผลเพราะว่า หลังจากที่คุณออกกำลังกายเสร็จแล้ว (ช่วงเย็น) โดยมากในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของการลดน้ำหนัก คุณจะยังหิวอยู่ ยิ่งออกกำลังกายด้วย ยิ่งหิวหนักเป็นทวีคูณ ดังนั้นคุณจะอดใจได้ยังไงเมื่อท้องคุณร้อง น้ำย่อยหลั่งจนไส้จะขาดอยู่แล้ว แต่ถ้ากลับกัน คุณเลือกที่จะออกกำลังกายในช่วงเช้าแทน แน่นอนว่าคุณยังสามารถกินอาหารเช้า หรืออาหารกลางวันทดแทนเข้าไปได้นั้นเอง
ดังนั้นหากใครที่กำลังอยากลดน้ำหนักแล้วอยากจะออกกำลังกายด้วย แนะนำว่าออกกำลังกายในตอนเช้าจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายด้วยการวิ่ง, เต้นแอโรบิค ฯลฯ เท่านั้น การออกกำลังกายในที่นี้คุณสามารถทำเองได้ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นลงบันได, การเดินไปที่ทำงาน (ในระยะทางที่ใช้เวลาเดินสัก 10-15 นาที) การออกกำลังกายในช่วงเช้านี้ เน้นแค่เอาให้รู้สึกร่างกายอุ่นๆ เหงื่อยซึมๆ เล็กๆ ก็พอแล้วครับ จำไว้ว่าไม่ต้องหักโหม แต่เน้นความต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะดีกว่าครับ
ส่วนมากคนที่ลดน้ำหนักก็มักจะใจร้อน อยากให้น้ำหนักลดลงเร็วๆ เลยออกกำลังกายแบบหักโหม หนักๆ ไปเลย หวังว่าน้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็วแล้วจะได้ไม่ต้องออกกำลังกายอีก แบบนี้คิดผิดมหันต์เลยค่ะ นอกจากจะทำให้เหนื่อยเปล่าแล้ว น้ำหนักก็ยังไม่ลดเท่าที่ควรด้วยค่ะ ทีนี้เรามาดูวิธีออกกำลังกายที่ถูกต้องดีกว่าค่ะ
4. ไม่ระวังเรื่องอาหาร
แน่นอนว่าหลังจากที่คุณใช้พลังงานไปกับการออกกำลังกายแล้ว (ไม่ว่าจะออกแบบเบา หรือแบบบ้าพลังก็ตาม) สิ่งหนึ่งที่ตามมาเสมอก็คือ “อาการหิว”นั้นเอง ซึ่งหากคุณไม่ควบคุมอาหารที่จะยัดใส่ปากแล้วละก็ สิ่งที่คุณออกกำลังกายมาก่อนหน้านี้มันก็ไร้ค่าสิ้นดีนั้นเอง ดังนั้นก่อนจะกิน จะดื่มอะไร ลองอ่านสลาก หรือคำนวนในใจสักนิดว่า สิ่งที่เราจะกินเข้าไปนั้น มันให้พลังงานเรามากน้อยแค่ไหน
หากเป็นอาหารสมัยใหม่ที่มีบรรจุภัณฑ์ดีๆ โดยมากบนสลากจะมีการระบุไว้ว่า อาหารนั้นๆ ให้พลังงานกี่กิโลแคลอรี่ ซึ่งโดยปกติร่างกายของผู้ชายคือ ต้องการพลังงาน 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้หญิงต้องการพลังงานประมาณ 1,200 – 1,500 กิโลแคลอรี่
คำนวนง่ายๆ ในใจก็คือ อาหาร 1 มื้อ ไม่ว่าจะเป็นข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ข้าวราดแกง ฯลฯ โดยเฉลี่ยอาหาร 1 จาน (ปริมาณที่คนทั่วไปทานกัน) จะให้พลังงานประมาณ 200 – 500 กิโลแคลอรี่ (ยกเว้นพวกจัดหนัก เช่น ข้าวขาหมูหนังล้วน, ข้าวมันไก่เนื้อหนัง ฯลฯ อันนี้ก็อาจจะเกิน 500 กิโลแคลอรี่ได้เช่นกัน) แปลว่า ถ้าคุณกินแค่มื้อละ 1 จาน แล้วไม่ทานอะไรเพิ่มเติม (ที่เหลือกินแต่น้ำ) แล้วออกกำลังกายเพิ่มนิดหน่อย แค่นี้ร่างกายของคุณก็จะใช้พลังงานมากกว่าพลังงานที่ได้รับในแต่ละวันแล้ว ร่างกายคุณจึงต้องดึงเอาไขมันสะสมมาใช้ และนั้นก็แปลว่าคุณกำลังเริ่มจะผอมแล้วนั้นเอง!!!

5. กินน้ำน้อยเกินไป

น้ำเป็นสิ่งสำคัญของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคุณจะอยากลดน้ำหนักหรือไม่อยากลดน้ำหนักก็ตาม ยังไงซะร่างกายของคุณก็ต้องได้รับน้ำเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน คนที่ลดน้ำหนักได้ช้าหลายคนอาจจะมาพลาดตกม้าตายตรงกินน้ำน้อยนี่แหละครับ บางคนทั้งวันกินน้ำไม่ถึง 500 มิลลิลิตร (ประมาณ 3 แก้ว) ด้วยซ้ำ!
การกินน้ำนอกจากจะทำให้ร่างกายสดชื่นแล้ว การกินน้ำยังมีผลต่อการลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะการกินน้ำจะเข้าไปช่วยเรื่องการขับถ่ายไล่ของเสียต่างๆ ภายในร่างกาย, ทดแทนน้ำที่สูญเสียไปในการออกกำลังกาย เพิ่มความสดชื่นหลังจากการออกกำลังกาย ฯลฯ ซึ่งหากวันนี้คุณยังไม่สามารถกินน้ำได้วันละ 8 แก้ว ก็ควรจะเริ่มหัดกินน้ำมากขึ้นทีละนิดทีละน้อย ไม่ต้องบ้าจี้ฝืนกินให้ได้ 8 แก้วหรือมากกว่าทันทีทันใด ทุกๆ อย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของการค่อยเป็นค่อยไปเสมอ

ที่มา http://www.wecandiet.com

9 ท่าออกกำลังกาย เบิร์นเน้น ๆ 200 กิโลแคลอรี ฟิตจัดเต็มใน 3 นาที


          ท่าออกกำลังกายง่าย ๆ ทั้งเบิร์นและฟิต แอนด์ เฟิร์มหุ่นได้ในเวลาแค่ 3 นาที มาโบกมือลา 200 กิโลแคลอรีและไขมันย้วย ๆ ไม่น่ามอง

          การออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานเป็นสิ่งที่คนอยากลดน้ำหนักขาดไม่ได้เลย ซึ่งก็คงมีหลายคนที่อยากจะเบิร์นแคลอรีออกไปให้ได้มาก ๆ ในเวลาอันสั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกกำลังกายด้วยท่าออกกำลังกายไหนดี วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอคัดเอา 9 ท่าออกกำลังกายเด็ด ๆ ที่ทำได้ง่าย ๆ และสามารถเบิร์นได้ถึง 200 แคลอรีภายในเวลาแค่ 3 นาที แถมถ้าทำติดต่อกันเป็นประจำยังจะได้หุ่นที่ฟิต แอนด์ เฟิร์มเป็นของแถมด้วย อยากรู้ว่ามีท่าออกกำลังกายอะไรบ้างก็ตามมาดูกันเลยค่ะ


1. ท่ายกเข่าสูง (High Knee)

          ท่าออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก และไม่ยากจนเกินไปอย่างเช่นท่ายกเข่าสูง ได้ผลดีทั้งในเรื่องการเบิร์นแคลอรี และกระชับสัดส่วนบริเวณหน้าท้องและต้นขา รวมทั้งสะโพก ใช้เวลาสั้น ๆ วันละ 3 นาที กับท่านี้ก็รับรองว่าผลที่ออกมา ดีอย่างคาดไม่ถึงแน่นอน

วิธีฝึก

        1. ยืนตรงในท่าที่สบาย 
        2. ยกแขนทั้ง 2 ข้าง ขนานกับพื้น เริ่มต้นวิ่งอยู่กับที่ ขณะที่วิ่งพยายามยกเข่าสูงให้แตะกับมือที่ยื่นออกมา หรือยกเข่าให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้
        3. ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซต


         

2. ท่าปีนเขา (Mountain climbers)

        ท่านี้จะช่วยบริหารร่างกายหลายส่วนไปพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว กล้ามเนื้อขาด้านหลัง กล้ามเนื้อก้น และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า แถมยังช่วยเบิร์นแคลอรีได้เพียบ อยากมีต้นขาที่ฟิตเปรี๊ยะพร้อมกับเบิร์นไขมันก็ต้องท่านี้แหละ

วิธีฝึก 

        1. เริ่มจากนอนคว่ำตัว แขนทั้งสองข้างเหยียดพื้น เท้าเหยียดตรง ดันปลายเท้าขึ้น 
        2. งอเข่าขวาขึ้นมาค้างไว้ที่ระดับอกให้พอเมื่อย แล้วสลับไปงอเข่าซ้าย แล้วทำสลับกันไปมา
        3. ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซต


         

3. ท่ากระโดดตบ (Jumping jacks)

          ท่าออกกำลังกายที่เราคุ้นเคยกันมานานอย่างท่ากระโดดตบ เป็นท่าออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพอย่างคาดไม่ถึง เพราะการกระโดดตบนั้นจะต้องใช้พลังงานมาก จึงทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มาก แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเข่า เพราะอาจจะทำให้เข่ารับน้ำหนักมากเกินไปและเกิดการบาดเจ็บได้

วิธีฝึก

        1. เริ่มจากยืนให้เท้าห่างกันเล็กน้อย วางแขนไว้ที่ด้านข้างลำตัว 
        2. กระโดดขึ้นโดยแยกเท้าออกให้ความกว้างเท่าหัวไหล่และยกมือทั้งสองข้างขึ้นสัมผัสกันเหนือศีรษะ แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้น
        3. ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซต





4. สควอทจัมพ์ (Jump squat)

          สควอทจัมพ์ หรือสก๊อตจัมพ์ อีกหนึ่งท่าออกกำลังกายที่เรารู้จักกันดีนี้ก็เป็นท่าออกกำลังกายที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้น และช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว กล้ามเนื้อก้น เอ็นร้อยหวาย กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อหลัง อีกทั้งยังช่วยเสริมสมรรถภาพของร่างกาย 

วิธีฝึก

        1. ยืนตัวตรง กางขาออกเล็กน้อย นั่งยอง ๆ งอเข่าเล็กน้อย มือ 2 ข้างยื่นไปด้านหลังขนานกับลำตัว หรือประสานไว้ที่ท้ายทอย 
        2. เอนตัวมาด้านหน้า โก่งบั้นท้ายขึ้นเล็กน้อย กระโดดยืดตัวขึ้นแล้วกลับสู่ท่าเดิม 
        3. ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซต


         

5. วอล์กกิ้ง ลันจ์ (Walking Lunges)

          ท่านี้เป็นท่าที่ดัดแปลงมาจากท่าลันจ์แบบปกติ โดยเพิ่มความท้าทายด้วยการที่เมื่อก้าวเท้าและย่อตัวลงไปแล้ว ก็จะต้องก้าวเท้าต่อไปด้านหน้าเรื่อย ๆ จึงช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้น แถมยังช่วยออกกำลังกายกล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วนได้ในคราวเดียว ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อก้น กล้ามเนื้อขาด้านหลัง และกล้ามเนื้อน่อง แต่ก็ต้องบอกว่าท่านี้เป็นอีกท่าหนึ่งที่ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องเข่าค่ะ

วิธีฝึก

        1. ยืนตรง ขาชิด มือทั้ง 2 ข้างเท้าเอว
        2. ก้าวขาซ้ายไปด้านหน้าให้มากที่สุด จนเข่างอตั้งฉากกับพื้น
        3. ก้าวเท้าซ้ายมาชิดเท้าขวา
        4. เริ่มต้นใหม่จากเท้าซ้าย ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซต


         


6. เบอร์พี (Burpees)

          ถือเป็นท่าออกกำลังกายสุดโหดที่สามารถเผาผลาญแคลอรีได้มาก โดยมีการศึกษาพบว่าการทำท่าเบอร์พีเพียง 1 ครั้งก็ช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 14.3 กิโลแคลอรีต่อนาทีเลยล่ะ ไม่เพียงเท่านั้นท่าเบอร์พียังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทั้งเบิร์น ทั้งฟิต ในคราวเดียวกัน คุ้มสุด ๆ เลย

วิธีฝึก

        1. ยืนตัวตรงแยกขาออกจากกันเล็กน้อย
        2. ย่อตัวลง คุกเข่าให้เข่าเกือบติดพื้น แล้วใช้มือทั้งสองข้างยันไว้กับพื้น
        3. ออกแรงยันขาทั้งสองข้างไปข้างหลังโดยให้มือทั้งสองข้างยันพื้นไว้ ในท่าคล้ายท่าวิดพื้น
        4. ออกแรงดันขากลับมาทางด้านหน้าและลุกขึ้นยืน กระโดดชูแขน ถือว่าจบท่า 1 ครั้ง


         

7. ท่าฟรอกเกอร์ (Frogger)

          ท่าออกำลังกายที่เลียนแบบมาจากท่าของกบ ที่นอกจากจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อส่วนล่าง ไม่ว่าจะเป็นต้นขา สะโพกหรือก้นแล้ว ก็ยังช่วยเบิร์นแคลอรีได้ไม่น้อยในเวลาอันสั้น ถ้าอยากสลายไขมันสะสมละก็ ท่านี้เลยเหมาะสุด ๆ 

วิธีฝึก

        1. ยืนตรง กางขาออกให้เท้าทั้ง 2 ข้างห่างกันมากกว่าไหล่เล็กน้อย
        2. ย่อเข่าลง วางมือไว้บนพื้นด้านหน้าห่างจากปลายเท้าเล็กน้อย
        3. กระโดดถีบขาไปข้างหลัง ขาชิด ให้อยู่ในท่าแพลงก์
        4. กระโดด พร้อมชักเท้ากลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำซ้ำเร็ว ๆ 
        5. ทำติดต่อกันประมาณ 30 วินาที ทั้งหมด 3 เซต


         

8. ท่ากระโดดเขย่งขา (Side-to-Side Hops)


          เป็นท่าออกกำลังกายง่าย ๆ ที่เมื่อทำติดต่อกันนาน ๆ ก็สามารถช่วยเผาผลาญแคลอรีในร่างกายได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยให้ทรงตัวได้ดีขึ้นอีกด้วย

วิธีฝึก 

        1. ยืนตรง ให้เท้าทั้งสองข้างห่างกันเล็กน้อย
        2. กระโดดไปทางขวาในลักษณะเขย่งเท้า ยกขาซ้ายขึ้น เท้าขวาวางกับพื้น 
        3. สปริงข้อเท้าขวาขึ้น เขย่งไปด้านซ้าย ขาเท้าขวาขึ้น เท้าซ้ายวางกับพื้น
        4. ทำติดต่อกันประมาณ 30 วินาที ทั้งหมด 3 เซต




9. วิ่งขึ้น-ลงบันได (Running up stairs)


          ปิดท้ายกันด้วยท่าออกกำลังกายง่าย ๆ อย่างการวิ่งขึ้น-ลงบันได แค่เพียงวิ่งขึ้นไปจนถึงขั้นบนสุด แล้วหันหลังวิ่งกลับลงมาสลับกันไปเรื่อย ๆ อย่างน้อย 3-5 รอบ ก็จะช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น โดยจุดเด่นของการออกกำลังกายด้วยการวิ่งขึ้น-ลงบันไดก็คือ ช่วยกระชับกล้ามเนื้อก้นและต้นขาไปได้ในตัว แต่ก็ต้องระมัดระวัง โดยควรกะระยะของแต่ละขั้นบันไดให้ดีไม่อย่างนั้นอาจตกบันไดบาดเจ็บได้ค่ะ
          แต่ละท่าออกกำลังกายก็ล้วนแต่เป็นท่าออกกำลังกายที่ง่าย ๆ และเราก็ต่างคุ้นเคยกันดี ทั้งนี้เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอื่น ๆ และควบคุมการรับประทานอาหารให้ดี อีกทั้งยังควรอบอุ่นร่างกายก่อนจะเริ่มออกกำลังกายด้วย เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกายค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Popsugar  
Fitnessrepublic  
ที่มา health.kapook.com

สร้างสติกเกอร์ Line ของตัวเองง่ายๆ ใน 8 ขั้นตอน ด้วย Line Creator Market

how-to-created-your-own-sticker-10-10
เดี๋ยวนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า แอปฯ สุดฮิตที่แทบทุกคนมีติดเครื่องและใช้แชทกันเป็นประจำคงหนีไม่พ้นแอปฯ ไลน์ (Line) ซึ่งจุดเด่นหลักๆ ข้อหนึ่งก็คือ การมีสติกเกอร์น่ารักกวนๆ ที่ช่วยทำให้การสนทนาของเราออกรส ไม่เงิบ และที่สำคัญคือน่ารักกกก ช่วยกระตุ้นทำให้บทสนทนาไม่น่าเบื่อ
ยิ่งเดี๋ยวนี้ทางไลน์ ยังมีการเปิดรับสติกเกอร์ไลน์จากบุคคลทั่วไป แค่มีบัญชีผู้ใช้ไลน์แล้วอยากลองสร้างสรรค์ใช้สติกเกอร์เฉพาะกลุ่ม ใช้กับแฟน หรืออยากจะเพิ่มรายได้พิเศษผ่านช่องทางนี้ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ใครรู้เรื่องนี้แล้วแต่ยังกลัวว่าลงทะเบียนยาก หรืองงๆ ว่าต้องใช้ไฟล์ยังไง หรือมีกฏข้อกำหนดในการทำอย่างไร ลองมาดูแล้วจะรู้ว่าไม่ยากเลยทำว่างๆ เพลินๆ อาจได้สติกเกอร์ชุดใหม่เก็บไว้ใช้แถมยังขายได้อีก

ลงทะเบียนกับ Line Creator Market ด้วยบัญชี Line ของเรา

how-to-created-your-own-sticker-01
ล็อกอิน Line Creators Market ด้วยบัญชี Line ผ่านเว็บ https://creator.line.me/th/ ถ้าใครยังไม่มีหรืออยากได้ Account เฉพาะสำหรับทำสติกเกอร์ก็ไปสมัครบัญชี Line กันก่อนนะ

ใส่ข้อมูลการรับเงิน

how-to-created-your-own-sticker-07
ใส่ข้อมูลการโอนเงินให้เรียบร้อย โดนทาง Line จะรับเงินได้ผ่านทาง PayPal เท่านั้น ถ้าใครยังไม่มีก็ไปเปิดได้โดยผูกบัญชีผ่านบัตรของท่าน โดยถ้ายอดขายเกิน 1,000 เยน (ประมาณ 300 บาท) เราสามารถยื่นคำขอโอนเงินรับค่าสติกเกอร์จากทางไลน์ได้โดย โอนให้ภายใน 45 วัน ประมาณทุกวันที่ 1 – 10 ของทุกเดือน
**ถ้าใครยังไม่สะดวกหรือยังไม่มีบัญชี PayPal แนะนำว่าข้ามขั้นตอนนี้ไปก่อนก็ได้จ้า ไปทำสติกเกอร์ก่อนแล้วค่อยกลับมาใส่ก่อนเริ่มขายได้นะ

กดลงทะเบียนใหม่ เพื่อสร้างสติกเกอร์ชุดใหม่

how-to-created-your-own-sticker-02
โดยครั้งนี้เราจะแนะนำวิธีการสร้างแค่สติกเกอร์แบบธรรมดา ไม่ใช่สติกเกอร์แบบแอนิเมชัน ซึ่งจะมีข้อกำหนดต่างกันไป

กรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน

how-to-created-your-own-sticker-03
กรอกชื่อสติกเกอร์และรายละเอียดอื่นๆ ให้ครบ โดยตอนนี้ทางไลน์อนุญาตให้ใช้ภาพถ่ายในสติกเกอร์ได้แล้ว ถ้าใครจะใส่ก็อย่าลืมกดเครื่องหมายถูกด้านหน้า “การใข้รูปถ่ายให้เรียบร้อย” หรือถ้ามีการใช้รูปบุคคลมีชื่อเสียงหรือต้องแสดงรายละเอียดลิขสิทธ์ต่างๆ สามารถส่งเอกสารได้ที่หน้านี้เลย

จัดการสติกเกอร์

how-to-created-your-own-sticker-04
กดตั้งราคาขายตามต้องการ
หากกดจำหน่ายสติกเกอร์ไปแล้วอยากเปลี่ยนราคากะทันหันก็สามารถทำได้ แต่ต้องไปกด “หยุดการจำหน่าย” ก่อนแล้วค่อยแก้ไขราคา หลังจากแก้ไขราคาเรียบร้อยต้องรอเป็นเวลา 24 ชม ถึงจะกดจำหน่ายสติกเกอร์ได้อีกครั้ง

เริ่มสร้างสติกเกอร์ได้เลย !!

how-to-created-your-own-sticker-05
กำหนดจำนวนสติกเกอร์ต่อชุดที่เราต้องการแล้วเริ่มอัปโหลดสติกเกอร์ได้เลย

เริ่มสร้างสติกเกอร์ตามรายละเอียดดังนี้

how-to-created-your-own-sticker-06
โดยสติกเกอร์ควรมีพื้นที่ว่างที่เหมาะสมระหว่างตัวรูปที่ตัดขอบแล้วกับเนื้อหาในรูป (ประมาณ 10 พิกเซล)
สติกเกอร์ที่แนะนำ
  • สติกเกอร์ที่ง่ายต่อการนำไปใช้ในบทสนทนาและการสื่อสารประจำวัน
  • สติกเกอร์ซึ่งประกอบด้วยการแสดงอารมณ์ความรู้สึก ข้อความ และรูปที่เข้าใจได้ง่าย
สติกเกอร์ที่ไม่แนะนำ
  • สติกเกอร์ที่ยากต่อการนำไปใช้ในบทสนทนาในชีวิตประจำวัน เช่น วัตถุ ทิวทัศน์
  • สติกเกอร์ซึ่งมีระยะการมองไม่ดี เช่น รูปที่ยาวเกินไปหรือรูปเต็มของคาแรคเตอร์ที่มีช่วงตัวยาวมาก
  • สติกเกอร์ที่ขาดความสมดุลอย่างเห็นได้ชัด (เช่น ใช้แต่สีอ่อน มีแต่ตัวเลขเรียงกัน)
  • ผลงานที่มีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมอันดีหรือระเบียบของสังคม ชี้ชวนให้เยาวชนดื่มสุราหรือสูบบุหรี่ มีภาพเกี่ยวกับเพศหรือความรุนแรง หรืออาจปลุกกระแสชาตินิยม
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคู่มือการพิจารณาสติกเกอร์ของไลน์ได้ ที่นี่

เมื่ออัปโหลดครบ กดส่งคำขอให้ทางไลน์ตรวจได้เลย

how-to-created-your-own-sticker-08
โดยก่อนส่งกดคำขอทางไลน์มีวิธีให้เราลองดูสติกเกอร์ในรูปแบบต่างๆ ถ้าจำหน่ายออกไปหน้าตาจะเป็นอย่างไร บนห้องแชทหน้าตาเป็นยังไง เพื่อให้เราได้ปรับปรุงแก้ไขได้สมบูรณ์ที่สุด
หลังจากกดส่งคำขอไปแล้วสถานะจะเปลี่ยนเป็น “รอการพิจารณา” >> “อยู่ระหว่างรอพิจารณา”
ทางไลน์อาจไว้เวลา 2-3 อาทิตย์(เวลาไม่แน่นอน) ในการตรวจ หากไม่ผ่าน ทางไลน์จะระบุหมายเลขของสติกเกอร์ที่มีปัญหาให้เราได้ปรับแก้ โดยสติกเกอร์ที่โดนปรับแก้จะมีสถานะเป็น “ปฏิเสธคำขอ” โดยเราสามารถแก้ไขแล้วส่งคำขอใหม่ได้
หากตรวจเรียบร้อยไม่มีแก้ไขสถานะสติกเกอร์จะเปลี่ยนเป็น “อนุมัติ” และสามารถกดคำสั่ง “เปิดจำหน่าย” เพื่อเริ่มขายสติกเกอร์ได้เลย !!
ที่มา : Line Creator Market , www.mangozero.com

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เหลือเชื่อ !! เรื่องแปลกของมนุษย์ที่หลายคนอาจไม่รู้ !!


เชื่อ หรือ ไม่ กล้ามเนื้อในร่างกายมนุษย์ที่แข็งแรงที่สุดคือ ลิ้น


เชื่อ หรือ ไม่ เซลเม็ดเลือดแดง ใช้เวลา 20 วินาที เดินทางในร่างกาย 1 รอบ

เชื่อ หรือ ไม่ ตลอดชีวิต ผู้หญิง 1 คนจะบริโภคลิปสติกประมาณ 2.7 กิโลกรัม ที่หลุดติดเข้าไปพร้อมกับอาหาร


เชื่อ หรือ ไม่ เฉลี่ยเด็กอายุ 4 ขวบ จะถามคำถามประมาณ 437 คำถามต่อวัน


เชื่อ หรือ ไม่ เฉลี่ยแล้วสมองมนุษย์จะหนัก 1.36 กิโลกรัม ( 3 ปอร์น )

เชื่อ หรือ ไม่ กระดูกจำนวน 1 ใน 4 ชิ้น ของร่างกายมนุษย์อยู่ที่เท้า ( ร่างกายมนุษย์มีกระดูก 206 ชิ้น เท้าหนึ่งข้างมีกระดูก 26 ชิ้น สองข้างมีกระดูก 52 ชิ้น)

เชื่อ หรือ ไม่ มนุษย์กระพริบตามากกว่า 10 ล้านครั้งต่อปี

เชื่อ หรือ ไม่ เมื่อคุณจาม ระบบในร่างกายจะหยุดทำงาน ไม่เว้นหัวใจ

เชื่อ หรือ ไม่ ถ้ามนุษย์ตะโกนเป็นเวลา 8 ปี 7 เดือน 6 วัน พลังงานเสียงที่ใช้ไปจะมากพอต้มกาแฟได้ 1 ถ้วย

เชื่อ หรือ ไม่ ชาวอเมริกาทั้งประเทศ กิน พิซซ่า พื้นที่ประมาณ 18 เอเคอร์ต่อวัน

เชื่อ หรือ ไม่ ถ้ามนุษย์หนึ่งคน ผายลมติดต่อกันเป็นเวลา 6 ปี 9 เดือน ก็าซจากการผายลมสามารถสร้างพลังงานได้เท่ากับระเบิดปรมาณู 1 ลูก

เชื่อ หรือ ไม่ หัวใจมนุษย์สามารถฉีดเลือด ได้ไกลถึง 9 เมตร

เชื่อ หรือ ไม่ หมีโคล่า ลิงกอริล่า ลิงชิปแปนซี และมนุษย์ เท่านั้นที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี่ลายนิ้วมือ

เชื่อ หรือ ไม่ กลิ่นแอ็ปเปิ้ล หรือกล้วย สามารถช่วยลดน้ำหนักได้

เชื่อ หรือ ไม่ เด็กๆจะเจริญเติบโตในฤดูใบไม้ผลิ ได้เร็วที่สุด

เชื่อ หรือ ไม่ ตลอดชีวิตมนุษย์ จะใช้เวลา จูบ กันประมาณ 14 วัน

เชื่อ หรือ ไม่ การจูบ 1 นาที เผาผราญแคลอรี่ได้ 26 แคลอรี่


เชื่อ หรือ ไม่ เขาว่าทั้งชีวิตมนุษย์ 1 คน เวลานอนหลับอ้าปาก จะมีลูกแมงมุม หลุดเข้าลำคอ เฉลี่ยประมาณ 8 ตัว


************************************************************************

มนุษย์ต้นไม้ ( Tree man )
Tree man มนุษย์ต้นไม้ คนนี้เป็นหนุ่มใหญ่ชาวอินโดนิเซีย ชื่อว่า Dede Koswara วัย 35 ปี ซึ่งป่วยเป็น โรคหูด ชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ผิวหนังเกิดเป็นสเก็ต และงอกยาวออกมาคล้ายรากไม้ ตามเนื้อตัวคล้ายเปลือกของต้นไม้ โดยจุดเริ่มต้นของ โรคประหลาดนี้เกิดขึ้นเมื่อ เมื่อ Dede เขาอายุ 15 ปี เมื่อเขาเกิดอุบัติเหตุเป็นแผลที่หัวเข่า ทำให้เกิดหูดเล็กๆขึ้นที่ขาส่วนล่าง และเริ่มรุกรามจนไม่สามารถควบคุมได้

ที่มา www.dek-d.com